ประวัติการเป่าแก้ว
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มนุษย์รู้จักและคุ้นเคยกับแก้วเป็นอย่างดี อุปกรณ์ ของใช้ ภาชนะต่างๆ
มากมายทำขึ้นมาจากแก้ว ทั้งนี้เนื่องจากแก้วที่มีใช้งานกันอย่างกว้างขวางนั้นมีสมบัติที่ดี
3ประการ คือ มีความโปร่งใส มีความแข่งแกร่ง และมีความทนทานต่อสารเคมี นอกจากนี้มีการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของแก้วชนิดพิเศษต่างๆ
ถูกคิดค้นเพื่อการนำไปใช้วัตถุประสงค์ที่กำหนดถึงแม้ความก้าวหน้าทางด้านพลาสติก
และเทคโนโลยีของโพลิเมอร์จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้พลาสติกถูกผลิตออกมาใช้งานอย่างกว้างขวางในทุกกิจการก็ตาม
แต่พลาสติกไม่อาจทนแทนแก้วได้อย่างสมบูรณ์
ศิลปะของการเป่าแก้ว ถูกค้นพบแถบตะวันออกกลาง
บริเวณชายฝั่งทะเลที่ชาวโพลินีเซียน อาศัยอยู่ จาก บันทึกและนิยายพื้นบ้าน
พ่อค้าชาวโพลินีเซียน พบแก้วโดยบังเอิญขณะตั้งค่ายพักแรมริมชายทะเล
โดยพบว่าบริเวณหาดทรายที่ใช้ก่อเตาประกอบอาหารมีของเหลวใสเกิดขึ้น ในการก่อเตานั้นพ่อค้าใช้หินโทรนา(Trona)
มาวางบนหาดทรายสำหรับเป็นที่รองรับราวแขวนหม้อประกอบอาหาร
ความร้อนจากไฟทำให้ทรายและหินโทรนาหลอมรวมกัน เมื่อดับไฟจึงเกิดการเย็นตัวลงของส่วนผสม ทำให้ได้วัสดุใหม่ คือ แก้ว
ที่เราใช้ในปัจจุบันนี้
มีนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คิดว่า
พ่อค้าเหล่านั้นคงจะโยนเปลือกหอยหรือกระดองปูเข้าไปใช้กองไฟด้วย
ก่อนคริสตศักราช 20 ปี มีการค้นพบกรรมวิธีในการทำเครื่องประดับจากแก้ว
ภาชนะที่ทำจากแก้ว และของมีค่าอื่นๆ ที่ทำด้วยแก้วในซากปรักหักพังของเมืองปอมเปอี
การผลิตภาชนะหรืองานศิลปะต่างๆ จากแก้ว
ยังคงใช้วิธีการเป่าแก้วมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ
การเป่าลมผ่านเข้าไปในด้านหนึ่งของท่อโลหะกลวง ดดยที่ด้านตรงข้ามเป็นแก้วที่หลอมเหลวถูกหมุนจนรวมกันเป้นก้อน
ผู้ที่เป่าแก้วสามารถควบคุมรูปร่าง ขนาดได้ตามต้องการในขณะที่แก้วกำลังร้อนอยู่
โดยการใช่อุปกรณ์ตกแต่งที่ทำด้วยไม้หรือการเข้าตาหลอมหลายครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น